Date : 2025-07-30
Fortify Rights ขึ้นหน้าหนึ่ง! พบหลักฐานกัมพูชาใช้อาวุธไม่นำวิถี โจมตีไม่เลือกหน้า เสนอ UN สอบเหตุปะทะ "ไทย-กัมพูชา"
Fortify Rights ขึ้นหน้าหนึ่งระบุว่า
ฟอร์ตี้ฟายไรต์เรียกร้องให้ยูเอ็นตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระเพื่อสืบสวนการปฏิบัติการของกองทัพไทยและกัมพูชาระหว่างการสู้รบที่พรมแดน ล่าสุดเผยหลักฐานการใช้กำลังอย่างไม่เลือกเป้าหมายโดยกองทัพกัมพูชา ในการโจมตีจังหวัดติดพรมแดนของประเทศไทย
“การพิสูจน์ข้อเท็จจริงเป็นก้าวย่างแรกที่นำไปสู่ความรับผิด และเมื่อมีความรับผิด เราย่อมจะสามารถประกันให้เกิดความยุติธรรมต่อเหยื่อและผู้รอดชีวิต และมีการปฏิบัติตามกฎหมายระหว่างประเทศอย่างจริงจังมากขึ้นในอนาคต” ผู้อำนวยการอาวุโส ฟอร์ตี้ฟายไรต์กล่าว
วันที่ 30 กรกฎาคม องค์กรสิทธิมนุษยชน Fortify Rights ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติแต่งตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงอิสระ
เพื่อสืบสวนการปฏิบัติของกองทัพไทยและกัมพูชา ระหว่างการสู้รบที่ชายแดน ซึ่งเพิ่งมีข้อตกลงหยุดยิงชั่วคราวเมื่อไม่นานมานี้
Peter Bouckaert ผู้อำนวยการอาวุโสของ Fortify Rights ระบุว่า คณะทำงานดังกล่าวสามารถจัดตั้งโดยหน่วยงานต่างๆ ภายใต้องค์การสหประชาชาติ
โดยเฉพาะคณะมนตรีสิทธิมนุษยชน เพื่อดำเนินการสอบสวนอย่างเป็นอิสระเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการเกิดอาชญากรรมสงครามจากทั้งสองฝ่าย
รายงานของ Fortify Rights ระบุว่า มีหลักฐานที่แสดงว่ากองทัพกัมพูชาใช้ระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง (MRLS) ที่ไม่ติดตั้งระบบนำวิถี หรือที่รู้จักในชื่อ “จรวด Grad” ในการโจมตีพื้นที่ชายแดนไทยเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา
โดยมีภาพถ่ายจากสำนักข่าว AFP แสดงให้เห็นทหารกัมพูชากำลังบรรจุจรวดขนาด 122 มม. รุ่น SHE-40 ลงในเครื่องยิงที่ติดตั้งอยู่บนรถบรรทุก ซึ่งผลิตโดยบริษัทจากประเทศจีน
จรวด Grad มีพิสัยยิงสูงสุดถึง 50 กิโลเมตร แต่ขาดความแม่นยำ โดยจรวดแต่ละลูกอาจกระจายการทำลายล้างในพื้นที่กว้างถึง 50,000 ตารางเมตร หรือมากกว่าสนามฟุตบอลถึงเจ็ดแห่ง และมีศักยภาพในการสังหารและทำให้ผู้คนบาดเจ็บในรัศมีกว่า 20 เมตร
Fortify Rights ยังเปิดเผยว่า จากคลิปวิดีโอที่ได้รับ มีการบันทึกภาพขณะทหารกัมพูชาเคลื่อนย้ายและยิงจรวด Grad จากฝั่งกัมพูชาไปยังฝั่งประเทศไทย
โดยลักษณะของการโจมตีดังกล่าวถือเป็นการยิงไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งอาจละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และเข้าข่ายอาชญากรรมสงคราม
อย่างไรก็ตาม ทางองค์กรระบุว่ายังไม่สามารถประเมินการกระทำของกองทัพไทยได้อย่างเต็มที่ เนื่องจากไม่สามารถเข้าถึงพื้นที่ชายแดนฝั่งกัมพูชา
จากการลงพื้นที่เก็บข้อมูลในจังหวัดสุรินทร์และศรีสะเกษ Fortify Rights ได้พูดคุยกับผู้รอดชีวิตและผู้ให้ความช่วยเหลือในพื้นที่
โดยหนึ่งในผู้ใหญ่บ้านในอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ เปิดเผยว่า ระเบิดจากกัมพูชาตกลงในพื้นที่ของปั๊มน้ำมันปตท. ซึ่งอยู่ในเขตชุมชน ไม่ใช่บริเวณแนวชายแดน
ชาวบ้านอีกคนหนึ่งกล่าวว่า การยิงจรวดในครั้งนี้ต่างจากเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ โดยระบุว่า “ปกติเวลาที่พวกเขายิงใส่กัน กระสุนจะตกอยู่แถวพรมแดน ไม่เคยมีการยิงระเบิดเข้ามาที่พื้นที่ในเมืองมาก่อน ไม่เคยเลย”
Fortify Rights ชี้ว่า กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ หรือกฎหมายสงคราม กำหนดให้คู่ขัดแย้งต้องแยกแยะอย่างชัดเจนระหว่างพลเรือนและเป้าหมายทางทหาร ห้ามโจมตีเป้าหมายที่ไม่มีการกำหนดอย่างเฉพาะเจาะจง หรือโจมตีพื้นที่ที่มีประชาชนอาศัยอยู่โดยตรง
องค์กรสิทธิมนุษยชนแห่งนี้ยังอ้างถึงพิธีสารเพิ่มเติมของอนุสัญญาเจนีวา และธรรมนูญกรุงโรมของศาลอาญาระหว่างประเทศ ซึ่งกัมพูชาเป็นรัฐภาคี โดยระบุว่าการกระทำของกัมพูชาอาจเข้าข่ายละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ
Fortify Rights สรุปว่า การยิงจรวดของกัมพูชาเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม ที่มีลักษณะไม่แยกแยะเป้าหมายทางทหารออกจากพลเรือน อาจเป็นการโจมตีโดยไม่เลือกเป้าหมาย
ซึ่งขัดต่อหลักกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ และจำเป็นต้องมีการสอบสวนอย่างอิสระเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงและนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
cr Fortify Rights
Date : 2025-07-30